วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“อัมสเตอร์ดัม” มหัศจรรย์เมืองแห่งคลอง

อัมสเตอร์ดัมมหัศจรรย์เมืองแห่งคลอง

อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เป็นเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอัมสเทล (Amstel) เริ่มก่อตั้งประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์  
อัมสเตอร์ดัม ชื่อนี้มีที่มาอันน่าสนใจ มาจากคำ 2 คำ คือ อัมสเตล แม่นํ้าอัมสเตล บวกกับคำว่า ดัม ที่แปลว่าเขื่อนซึ่งเมื่อรวมความแล้วก็หมายถึงเขื่อนที่อยู่ริมเเม่นํ้าอัมสเตลอันมีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ตอนต้นศตวรรษที่ 13 อัมสเตอร์นั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีลักษณะพื้นที่เป็นเกาะมีคูคลองล้อมรอบเมืองถึง 4 ชั้น ที่ถูกขุดขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 มีความยาวรวมกันกว่า100 กม.เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรและขนส่งสินค้ารวมถึงเป็นคูเมืองเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู มีประตูกันน้ำถึง 16แห่งด้วยกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเรียกว่า อัมสเตอร์ดัมนี้เป็นเมืองแห่งคลอง



นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวที่นี่แล้วจะต้องไม่พลาดกิจกรรมทัวร์ที่ถือว่าป็นไฮไลต์ของการเที่ยวอัมสเตอร์เลยก็คือการล่องเรือหลังคากระจกเที่ยวชมคลองในอัมสเตอร์ดัม การล่องเรือหลังคากระจกเที่ยวชมคลองในอัมสเตอร์ดัม ลัดเลาะล่องไปตามลำคลองน้อยใหญ่ เพื่อชมทัศนียภาพของเมือง ชมตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่ริมคลองอันมีเอกลักษณ์ที่สวยงามแปลกตา ซึ่งบ้านริมคลองเหล่านี้จะมีส่วนหน้าบ้านไม่กว้างมากนัก และสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสเปน ผสมกับ เรอเนสซองส์ ตัวตึกใช้อิฐแดงก่อแบบไม่ฉาบปูน ตกแต่งเป็นภาพปูนปั้นเทพเจ้ากรีกอย่างสวยงาม และหน้าจั่วมีไม้ยื่นออกมาเพื่อแขวนลอกไว้ชักลอกสิ่งของเข้าบ้านทางหน้าต่างเพราะหน้าบ้านแคบและประตูก็เล็ก 

และในลำคลองยังมีเรือนแพรที่เป็นที่อยู่อาศัยอีกด้วย สถานีรถไฟกลาง (Centraal Station) ที่นี่เป็นสถานีรถไฟอันสวยงามที่ตั้งอยู่ตรงชายฝั่ง อ่าวไอย์ (ij) สร้างขึ้นในปีค.ศ.1889เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิกที่สวยงามและยิ่งใหญ่ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ ด็อกเตอร์ เกาเปอร์(Dr. Cuypers) เป็นคนเดียวกับที่ออกแบบสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไรค์ มิวเซียมสถานีรถไฟแห่งนี้ใหญ่โตโอฬารสร้างบนเสาเข็มจำนวนถึง8,657ต้น ที่หน้าตึกจะมีนาฬิ กาเรือนใหญ่อยู่ 2เรือน เรือนทางซ้ายบอกทิศทางลมส่วน เรือนทางขวาบอกเวลาและจากสถานีรถไฟแห่งนี้เราสามารถที่จะเดินทางไปสู่ทุก ประเทศในยุโรปได้เลยและที่สำคัญยังเป็นจุดรวมของรถรางรถเมล์ทุกสายที่ใช้ใน อัมสเตอร์ดัม และรอบนอกใกล้กับ สถานีรถไฟทุกแห่งอีกด้วย เรียกว่าเป็นจุดการเดินทางหลักที่สำคัญของเมืองอัมสเตอร์ จึงทำให้ที่นี่จอแจไปด้วยผู้คนมากมาย 

ดัมสแควร์ (Dam Square) เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ที่มีสถานที่สำคัญๆตั้งอยู่มากมาย อย่างมุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ใหม่ที่สร้างขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่ 14 และ ผ่านการบูรณะซ่อมแซม ปรับปรุงจนถึงสร้างใหม่ หลายต่อหลายจนมีความสวยงามน่าชมเป็นอย่างยิ่ง และก็จะเห็นอนุสาวรีย์แห่งเสรีภาพ เป็นรูปทรงกรวยสขาวสูงประมาณ 70ฟุตสร้างขึ้นในปีค.ศ.1956เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2



พระราชวังหลวง (Koninklijk Plaeis) หรือ วังหลวง ที่ครั้งแรกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1655 มี จุดประสงค์เพื่อใช้เป็นที่ว่าการอำเภอสร้างโดยสถาปนิกที่ชื่อ ยาคอบ ฟาน กัมเปน ตรงหน้าจั่วของตึกแห่งนี้มีรูปปูนปั้นที่สวยงามเป็นรูปเทพีแห่งทะเล และสัตว์ในเทพนิยายกรีก 
ภายในเป็นห้องโถงกว้างปูด้วยหินอ่อนเป็นรูปลูกโลกขลิบด้วยทองเเดงสวยงามเพดานวาดเป็นรูปภาพจักรวาล แต่ต่อมาในปีค.ศ. 1801หลัง จากที่เนเธอร์แลนด์ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสได้ใช้เป็นพระราชวังที่ประทับ ของพระเจ้าหลุยส์ โบนาปาร์ตน้องชายของนะโปเลียน โบนาปาร์ตจนถึงปีค.ศ.1810 เมื่อฝรั่งเศสหมดอำนาจลงก็ยังคงใช้เป็นพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์เนเธอร์แลนด์ในปีค.ศ.1967สมเด็จ พระราชินีนาถจุเลียนาได้ทรงย้ายไปประทับอยู่ที่เมืองเฮกจึงมีการซ่อมแซม พระราชวังแห่งนี้ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวังหลวงที่วิจิตรงดงามไปด้วยสถาปัตยรรมแบบ ยุโรป
 

กาลเวอร์ สตราท (Kalver Straat) เป็น ถนนชอปปิ้งสายสำคัญของคนอัมสเตอร์ดัม และของนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งถ้าใครเป็นนักท่องเที่ยวขาชอปตัวยงมีหวังได้หมดกระเป๋ากันเป็นแน่ เพราะถนนสายนี้จะคลาคล่ำไปด้วยร้านรวงที่ขายของและสินค้าของที่ระลึกให้ เลือกซื้อหาเป็นของขวัญของฝากอย่างมากมาย 


 พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซด์(MadameTussauds Scenerama)ตั้งอยู่ชั้นบนของห้างสรรพสินค้าPeek&Cloppenburg ภาย ในจัดเป็นนิทรรศการหุ่นขี้ผึ้งที่มีชีวิตชีวา หุ่นทุกตัวดูราวมีชีวิตสมจริงมากๆมีการจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของ อัมสเตอร์ดัม รวมทั้งหุ่นขี้ผึ้งของบุคคลสำคัญต่างๆ มากมายให้เราได้กระทบไหล่ประชิดตัว(หุ่น)จริงๆ กันแบบใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นหุ่นนักร้องชื่อดังอย่าง บียอนเซ่, เอลวิส เพรสลี่, จัสติน ทิมเบอร์เลค ผู้นำระดับโลกก็มี บารัค โอบามาประธานาธิบดีUSA. , องค์ทาไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของฑทิเบต เป็นต้น และมีหุ่นดาราฮอลลีวูดให้แอ็คท่าถ่ายรูปคู่ด้วย อาทิ แองเจลินา โจลี, แบรด พิตท์, เจนนิเฟอร์ โลเปซ, มาริลิน มอนโร และหุ่นขี้ผึ้งบุคคลสำคัญต่างๆ อีกมากมาย 


พิพิธภัณฑ์ไรค์ (Rijksmuseum) หรือ ไรค์มิวเซียม ถือว่าเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดสร้างขึ้นในปีค.ศ.1885เพื่อเป็นที่รวมรวบผลงานศิลปะของเนเธอร์แลนด์ทุกแขนง ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายกับ ตึกสถานีรถไฟสร้างด้วยอิฐสีเเดงสไตล์นีโอโกธิกภายในพิพิธภัณฑ์อันกว้างใหญ่มีทั้งหมด 260 ห้อง จัดเก็บรวบรวมภาพเขียนของจิตรกรชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 15ถึงศตวรรษที่19 อย่างจิตรกรที่คนไทยรู้จักกันดีคือ เรมบรันด์ (Rembrandt) ผู้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากภาพ The Night Watch ซึ่งแขวนอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้านหน้าและยังมีภาพอีกกว่า 200 ภาพของเขาแขวนอยู่ในนี้ด้วย รวมไปถึงภาพเหมือนจากศตวรรษที่ 16งานเซรามิก พอร์ซเลน และประวัติศาสตร์ของเนเธอร์แลนด์ในห้องประวัติศาสตร์ชั้นล่างและ มีภาพสำคัญอยู่ภาพหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยไม่ควรพลาดชมก็คือ ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา ที่วาดขึ้นโดยนักเดินเรือนนิรนามชาวฮอลันดา ชื่อภาพโยเดีย (Iodla)และประวัติศาสตร์การเดินเรือของกลุ่มดัตช์ อีสต์ อินดีส คัมปานี(Dutch East Indles Company หรือ V.O.C) เรียกว่าใครที่ชื่นชอบงานด้านศิลปะและประวัติศาสตร์รับรองว่ามาที่ไรค์มิวเซียมนี้แล้วจะเพลิดเพลินเดินชมกันได้ทั้งวัน

 





 พิพิธภัณฑ์แวะโกะห์ (Van Gogh Museum) ที่ นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงผลงานของแวนโกะห์ไว้มากที่สุด และเห็นถึงพัฒนาการในงานศิลป์ของเขามีภาพวาดสีน้ำมันของแวนโกะห์ จิตรกรแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ชาวดัตช์ในสมัยศตวรรษที่ 19ตั้งแสดงอยู่ถึง 200 ภาพและมีงานสเก็ตช์ดรออิงเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของแวนโกะห์ รวมทั้งภาพของโมเนต์ (Monet)และโกแกง (Gauguin)ตั้งแสดงอยู่ด้วย และภาพวาดที่มีชื่อเสียงของ แวนโกะห์ที่ไม่ควรพลาดไปชม ก็มีภาพสาวน้อยที่สะพานบาง, ภาพดอกทานตะวัน, The Potato, Still Life with Sunflower และ Cornfield with Crow เป็นต้น และภาพวาดอื่นๆ อีกมากมาย

Modernism

Modernism

1. นิสัยหรือการปฏิบัติของ moralizing
2. คุณธรรมกล่าวว่า
3.(ปรัชญา)การปฏิบัติของคุณธรรมจริยธรรมโดยปราศจากการอ้างอิงศาสนา 
   
Moralism เป็น ปรัชญา ในปัจจุบันซึ่งเน้นว่าการกระทำของมนุษย์ควรสอดคล้องกับหลักคุณธรรม

ในความรู้สึกของ moralism นอก ระบบมีวัตถุประสงค์เพื่อดูข้อ จำกัด แบบดั้งเดิมของ เรื่องเพศ และมีแนวโน้มที่จะวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่มีการตั้งค่าที่แตกต่างกัน ในการนี้ขอบเขตของการmoralism หายไปในคลื่นในประวัติศาสตร์ moralistvåg ที่รู้จักกันเป็นบางครั้งกล่าวว่าจะเป็น วิคตอเรีย หรือ Oscarianska เป็นที่รู้จักกันในสวีเดนและนอร์เวย์ซึ่งทำเครื่องหมาย 1800 ที่อยู่ตรงกลาง ตัวอย่างของการเคลื่อนไหวที่บางครั้งมี moralists เป็น คริสเตียนขวา และ การเคลื่อนไหวรุนแรง 

     คนมีศีลธรรม colloquially ใช้ มักจะเป็นประจุลบระยะ มันจะให้กับคนที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังรบกวนการทำงานในชีวิตของผู้อื่นและจึง ใส่ตัวเองขึ้นเป็นผู้พิพากษาไปทางของพวกเขาในชีวิต
 Moralism การเข้าใจผิดที่จะคิดว่าพอใจความรู้สึกใดๆ หรือ indulging ของ
เครื่องแต่งกายใด ๆ กินอาหารอร่อย ๆ ในเนื้อเครื่องดื่มหรือเป็นของตัว
เองไม่เคยรองสามารถเข้าไปในความกระตือรือร้นหัวที่ไม่ได้ไม่เป็นระเบียบ
โดย frenzies ของ .... vices indulgences เหล่านี้เฉพาะเมื่อพวกเขาถูกตาม
ล่าที่อาศัยอำนาจตามค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นความเอื้ออารีหรือการกุศลใน
ลักษณะเช่นที่พวกเขาจะ follies เมื่อ พวกเขาคนสถานที่ปรักหักพังดวงชะตา
ของเขาและช่วยลดตัวเองต้องการและความยากจน เมื่อยึดที่มั่นที่พวกเขาไม่
มีคุณธรรม แต่ออกจากที่นั้นอาจเพียงพอที่จะให้สำหรับเพื่อนครอบครัวและ
ทุกวัตถุที่เหมาะสมของความเอื้ออาทรหรือความเห็นอกเห็นใจพวกเขาเป็นผู้
บริสุทธิ์ทั้งหมด

   จริยธรรมการเข้าใจผิดของ moralism (adj. "ศีลธรรม") ผลที่ได้จากลักษณะทั่วไปของ imperativesคุณธรรมและความรับผิดชอบเป็นของ ลีโอนาร์เนลสัน moralism กำหนดในลักษณะนี้ :
'moralism'ผมเรียกว่าระบบของคุณธรรมจริยธรรมที่เพียงพอสำหรับการควบคุมบรรทัดฐานในเชิงบวกของชีวิต ในคำอื่น ที่ไม่รวม moralism ความเป็นไปได้ของการกระทำที่ไม่แยแสศีลธรรมตามนั้นการดำเนินการทุกคนต้องมีลักษณะเป็นปฏิบัติตามหรือการละเมิดการปฏิบัติหน้าที่ระบบ

การเข้าใจผิดของ Moralism
 1. ความเกรียวกราวกว่ากะเหรี่ยง Finley ขณะนี้ล่องลอยในประวัติศาสตร์และผู้อ่านจำนวนมากอาจจะไม่รู้จักชื่อของเธอ  Finley จะอยู่ในความอับอายขายหน้าในจารีตนิยมในการใช้สิทธิ์ของตัวเองจากชาติประกันชีวิตสำหรับศิลปะย้อนกลับไปใน s '80', การทำชิ้นงานศิลปะการแสดง : เธอปรากฏบนเวทีในเปลือยน้ำเชื่อมช็อคโกแลต, smeared บน ร่างกายของเธอและเชิญผู้ชม สมาชิกเลียออก  คัดค้านค่อนข้างเหมาะสมของหลักสูตรคือเหตุผลที่ผู้เสียภาษี เงินควรจะใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการนี้ซึ่งหลาย คนจะพิจารณาความไม่พอใจหรือหยาบคาย  จุดประสงค์ของตัวเอง Finleyในชิ้นถูก muddied เมื่อเธอมาปรากฏตัวในกรกฎาคม 1999 ปัญหาของนิตยสารเพลย์บอย  การกระทำเดิมดูเหมือนจะโกรธมาตรฐาน สตรีนิยม เลียนแบบหรือส่งขึ้นของ"การทำให้แลเห็น"ของร่างกายของสตรีหรือเป็นบทความ Playboy ตัวเองกล่าวว่า"การย่อยสลายสัญลักษณ์ของ."  แต่ปรากฏในภาพเปลือยในนิตยสารเพลย์บอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Bill Maher ส่วนตัวเลียช็อคโกแลตปิดตัวเองของเธอจะแทบจะไม่ได้โกรธ interpretated โดยสตรีนิยมมาตรฐานการส่ง"ข้อความขวา"และ Finley สารปัญหาโดยที่ปรากฏไม่เพียงแต่ในช็อคโกแลตเครื่องหมายการค้าของเธอ แต่โดยไม่ได้นอกจากนี้ในบางมาตรฐาน Playboy เปลือย poses  เธอ ไม่ได้ดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งโกรธหรือสตรีนิยมและแน่นอนเป็นผู้หญิงที่ดูดีมาก -- บริสุทธ์และสนุก -- น้อยรองลงมาจากเพื่อนเล่นใด นี้ถูกพัฒนาอยากรู้อยากเห็นในประวัติศาสตร์ของศิลปะการแสดงทางการเมือง

  2. Haing (1940-1996) เป็นแพทย์ชาวกัมพูชาที่มีประสบการณ์บางส่วนที่เลวร้ายที่สุดของ Terrorกัมพูชาหนีไปกัมพูชาในปี 1979 เขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาแล้วได้รับรางวัลออสการ์สำหรับการสนับสนุนที่ดีที่สุดสำหรับนักแสดงภาพยนตร์ 1984 เขตข้อมูลฆ่า  น่าเศร้าที่วันที่25 กุมภาพันธ์ปี 1996 งถูกฆาตกรรมโดยสมาชิกแก๊งเอเชียในขณะที่ออกหดของ Los Angeles พาร์ทเมนท์ของเขา  ฆ่าดูเหมือนจะได้รับส่วนหนึ่งของการปล้นแต่ข่าวลือมาประกอบมันจะตีโดยsympathizers คอมมิวนิสต์  มันยากที่จะเชื่อว่าจะมี sympathizers คอมมิวนิสต์ในการดำเนินงานดังกล่าวชุมชน expatriot แต่ ก็เป็นที่ชัดเจนที่วิทยาเขตมหาวิทยาลัยของอเมริกาที่รุ่นที่ไม่เคยรู้ว่าคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่ชอบกลับบ้านได้อย่างง่ายดายสามารถจัดหา recruits วิทยาเขตสำหรับอนุมูลจาก ซ้าย
  
   
     3.การแสดงตนของ MacKinnon ในสื่อดูเหมือนจะอยู่ ก็หายไปไม่กี่ปีที่ผ่านมาและมันเป็นเพียงตอนนี้ฉันตระหนักดีว่ามันอาจจะเป็นเพราะการสนับสนุนของเธอคดีพอลล่า Jones  MacKinnonกล่าวว่า"เมื่อพอลโจนส์ฟ้องบิลคลินตันการครอบงำชาย quaked."  นี้ก็จะไม่ได้ endeared เธอfeminists อื่น ผู้หลังจากลังเลเล็กน้อยโมฆะ (ชั่วคราว) หลักการของพวกเขาทั้งหมดที่ระบุไว้ในระยะยาวเพื่อป้องกันการเป็นพันธมิตรทางการเมือง  แท้จริงในขณะที่ฉันไม่ได้ฟังความเห็นของ MacKinnon  นอกจากนี้ในขณที่ feminists ดั้งเดิมไม่มีความรักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสื่อลามกพันธมิตรเปิดของ MacKinnon และ Dworkin กับอนุรักษ์นิยมทางศาสนา(ชิงชัง"ศาสนาขวา")เกี่ยวกับเรื่องนี้ทำหลายอย่างน้อยอึดอัด  Dworkin ตัวเองได้รับความสนใจมากขึ้นจากความตายก่อนวัยอันควรของเธอ (มีอายุ 58) ในปี 2005 กว่าทั้งคู่จะมีการรวบรวมมา


Post Modern


               ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์ นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้ พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย
การ มองว่าองค์ความรู้ตั้งแต่ปรัชญา จริยธรรม การเมือง การปกครอง วรรณกรรมคลาสสิค ฯลฯ ทั้งหมดเป็นเพียงเพื่อสร้างภาพสร้างตัวตนที่ดีงามมีเหตุผลให้ตะวันตก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไปกดทับ เพิกเฉย ละเลย ลืมประวัติศาสตร์ของตัวตน การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมของผู้อื่นหรือคนอื่นเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์และ ให้คุณค่าในเรื่องของตนเองและลดคุณค่าในเรื่องที่เป็นของผู้อื่น ซึ่งเป็นวิธีการคิดแบบแยบยล

Post Modern วิพากษ์สังคมตะวันตก ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ประเด็นแรกโลกโมเดิร์นไม่ได้นำไปสู่ความเป็นเหตุเป็นผล ความก้าวหน้า หรือความสงบสุขของมนุษย์ แต่มีหลายช่วงที่นำไปสู่ความรุนแรง เช่น สงครามโลก และการฆ่าล้างเผ่าพันต่างๆ
ประเด็นที่สอง ระบบ การเมืองของสังคมโมเดิร์นของตะวันตกไม่ได้สะท้อนการกระจายอำนาจที่ดีเพียงพอ พวกเจาจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจสู่ชุมชน อำนาจของประชาสังคม อำนาจของภาคพลเมืองเพิ่มเวทีหรือพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ทางการเมืองให้คน ด้อยสิทธิต่าง ๆ
ประเด็นที่สาม สถาบัน ระบบคุณธรรมของตะวันตก ยังมีคนบีบบังคับ กดดัน บีบคั้น ผู้ด้อยกว่า เช่น แรงงานอพยพต่างๆ คนกลุ่มน้อย และยังมีการกระทำแบบเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ ด้วย
ประเด็นที่สี่     องค์ ความรู้ของตะวันตกที่สร้างมาในยุคโมเดิร์นมีส่วนสร้างรับใช้และสถาบันทางการ เมือง สังคม ศีลธรรม คุก โรงพยาบาล ซึ่งยังมีส่วนในการปิดกั้นและกีดกันผู้ด้อยโอกาสในสิทธิอำนาจตามประเด็นที่สาม สถาบัน ระบบคุณธรรมของตะวันตก ยังมีคนบีบบังคับ กดดัน บีบคั้น ผู้ด้อยกว่า เช่น แรงงานอพยพต่างๆ คนกลุ่มน้อยและยังมีการกระทำแบบเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ

ลักษณะ Post modern 
1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง 
2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน
3. Post modern คัดค้านโครงสร้างระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
4. Post modern ปฏิเสธจุดเริ่มต้นจึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไป จากบริบทอย่างสิ้นเชิง
     ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโม เดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้ พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย

อ้างอิง  ธีรยุทธ บุญมี, โลก โมเดิร์น โพสต์ โมเดิร์น . วิญญูชน.พิมพ์ครั้งที่ 4.กรุงเทพฯ : 2550


ระบบศักดินา (Feudalism)

ระบบศักดินา(Feudalism)
ความหมายของระบบศักดินา(Feudalism)
  Feudalism มาจากคำว่า Fief แปลว่า “ที่ดินแปลงหนึ่ง” หมายถึงระบบการปกครองและโครงสร้างทางสังคมที่เน้นความสำคัญของกรรมสิทธิ์ที่ดิน การเป็นเจ้าของที่ดินเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสิทธิอำนาจทางการเมืองและสังคม หากปราศจากกรรมสิทธิ์ที่ดินบุคคลก็ไม่สามารถอ้างสิทธิทางการเมืองได้
   ระบบศักดินาจึงหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้เช่าที่ดิน ผู้เช่าที่ดินอาจเสียค่าเช่าเพียงเล็กน้อยแต่มีพันธะต่อจ้าของที่ดินหลายอย่าง เช่น การช่วยทำสงครามในกองทหารของเจ้าของที่ดิน การช่วยเหลือเงินเมื่อลูกสาวของเจ้าของที่ดินแต่งงาน ฯลฯ เป็นต้น เจ้าของที่ดินก็ต้องคุ้มครองแก่ผู้เช่าเมื่อถูกปองร้าย หรือดูแลผลประโยชน์และบุตรธิดาของผู้เช่าที่ดินเมื่อเสียชีวิต
   ระบบศักดินามีลักษณะการกระจายอำนาจจากรัฐไปยังขุนนาง ขุนนางคนใดเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่และอุดมสมบูรณ์ก็จะมีอิทธิพลทางการเมืองมาก หากอำนาจรัฐอ่อนแออำนาจของขุนนางจะเข้มแข็งแทน ระบบศักดินาหมดไปเมื่อมีรัฐประชาชาติและการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางภายใต้สถาบันกษัตริย์

ความเป็นมาของระบบศักดินา
   กรุงโรมแตกหลังจาการโจมตีของอนารยชนเผ่าเยอรมัน 3 ครั้งในปี ค.ศ. 410   ค.ศ. 455  และ ค.ศ. 476 ผู้นำชาวเยอรมันเผ่าวิซิกอธ (The Visigoths) ได้ตั้งตัวเป็นประมุขและทำลายอารยธรรมทุกอย่างในดินแดนเหนือเทือกเขาแอลป์ จนความเจริญต่างๆ สูญสิ้นลงไปอย่างสิ้นเชิง
   ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6-8 ยุโรปกลาง เหนือและตะวันตกเป็นดินแดนที่มีการรบวุ่นวายจนกระทั่งระหว่างศตวรรษที่ 9-11   จึงเกิดระบบการปกครองที่ผสมผสานอารยธรรมกรีกโรมัน กอล (Gaul) และเยอรมันเข้าด้วยกัน กลายเป็นจารีตที่เน้นกรรมสิทธิ์ที่ดินและความผูกพันแบบสังคมกสิกรรมศักดินา (Feudal  Agarian Society) ระหว่างชาวนา ทาสและเจ้าของที่ดินโดยมีศาสนาเป็นตัวเชื่อม

 ปัจจัยในการก่อตัวของระบบศักดินาแบ่งออกเป็น  3  ประการ  คือ
  1.การรับจารีตการปกครองทางโลกมาจากโรมัน
   ในยุคโรมันมีจารีตที่บุคคลต้องสวามิภักดิ์ต่อผู้มีอำนาจ เพื่อรับความคุ้มครองและทำงานรับใช้เป็นการตอบแทน ความสัมพันธ์เช่นนี้อิสระชนเรียกว่า  Patron  and  Client  relationship  ในกรณีของทาสเรียกว่า “Master  and  Slave  relationship   ความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่งที่สืบจากสมัยโรมันคือ  เมื่อบุคคลเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน  เจ้าของที่ดินก็มีพันธะให้ความคุ้มครองผู้เช่า  ครั้นชาวกอลและชาวแฟรงค์ยึดครองจักรวรรดิโรมัน  อารยชนทั้ง  2  พวกก็รับจนรีตนี้ไว้ด้วย  ในยุคเสื่อมของจักรวรรดิโรมัน  (คริสต์ศตวรรษที่  3-4)  เกิดปัญหาแรงงานเกษตรกรรม  ซึ่งเอื้อต่อระบบศักดินาในสมัยกลาง  ดังนี้
       -การเช่าที่ดินระยะยาว  (The  Precarium)  เกิดจากการที่กฎหมายยอมให้เกษตรกรซึ่งผิดสัญญาเช่าที่ดินถูกไล่ออกจากที่ดินได้  เจ้าที่ดินรายย่อยจึงยอมยกที่ดินให้เจ้าหนี้หรือเจ้าที่ดินรายใหญ่เพื่อแลกกับการคุ้ม ครอง  จึงเป็นที่มาของการตกอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าที่ดินจำนนต่ออำนาจส่วนกลาง ในสมัยศักดินาส่วน กลางในสมัยศักดินารุ่งเรืองเจ้าที่ดินจึงมีอำนาจเด็ดขาดเหนือประชาชนทั้งทางการบริหาร  กฎหมายและตุลาการ
         -การสร้างอาณานิคมแรงงาน (The  Colonate)  ซึ่งห้ามเกษตรกรหรือผู้เช่า
ที่ดินย้ายถิ่นฐาน  เพื่อประกันผลผลิตและป้องกันการอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่  ทำ
ให้แรงงานเกษตรกรรมกลายเป็นทาสที่ดิน  (serf)  ภายใต้อำนาจของเจ้าที่ดิน

  2.การรับรูปแบบการปกครองทางศาสนามาจากโรมัน
 ระหว่างที่จักรวรรดิโรมันตะวันออกและจักรวรรดิโรมันตะวันตกนั้น  อำนาจของพระสันตะปาปาแห่งกรุงโรมทั้งด้านศาสนาและการเมืองมีสูงมาก  ทำให้รอดพ้นจากการถูกทำลายและสามารถพัฒนามาเป็นการปกครองคณะสงฆ์ มีการรักษาผลประโยชน์ของสถาบันศาสนาแบบ  Benefice” คือ  จารีตการยกที่ดินของวัดให้เอกชนเช่า  โดยรับค่าตอบแทน  คือ  แรงงานและการเป็นทหารหรือยกผลผลิตให้แก่วัด ราชวงศ์เมโรวินเจียนของชาวแฟรงค์และราชวงศ์ชาร์เลอมาญของเผ่าเยอรมัน ได้นำระบบ Benefice ไปใช้ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยการให้สิทธิเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากที่ดินตอบแทนความชอบของอัศวิน เมื่อระบบกษัตริย์อ่อนแอที่ดินของกษัตริย์จึงถูกขุนนางยึดครอง และนำมาสู่การริดรอนอำนาจสถาบันกษัตริย์ในสมัยกลาง         
3.โครงสร้างทางสังคมของอนารยชนเผ่าเยอรมัน
  อนารยชนเผ่าเยอรมัน  หมายถึง  ชนเผ่ากอธ (วิซิกอธ และออสโตรกอธ)  เผ่า
แฟรงค์  เผ่าแวนดัล  เผ่าติวตอนและเผ่าอเลมานนี  ซึ่งเชื่อเรื่องพันธะของญาติ
พี่น้อง (Bond  of  Kinship)  และเกียรติยศของบุคคลเมื่อถูกลบหลู่  โดยญาติจะ
แก้แค้นหรือเรียกร้องค่าเสียหายตามค่าตัว  ซึ่งกษัตริย์หรือผู้นำทัพจะไม่มี
อำนาจเหนือ เผ่าพันธุ์  ยกเว้นการเป็นผู้นำในการรบอันเป็นลักษณะของการ
กระจายอำนาจ  และการเน้นความสัมพันธ์ส่วนบุคคลมากกว่าความสัมพันธ์ต่อ
ส่วนกลาง  ทำให้กฎหมายของชนเผ่าเยอรมันต่างจากกฎหมายโรมัน
    ชาวเยอรมันเชื่อว่า กฎหมายมิได้เกิดจากอำนาจหรือความปรารถนาของประมุขแต่เกิดจากธรรมเนียมของเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีเชื้อสายเดียวกัน ต่างจากกฎหมายของโรมันที่บังคับกับคนทุกเผ่าพันธุ์ในจักรวรรดิ  เมื่อชาวเยอรมันมาตั้งถิ่นฐานในยุโรปตะวันตกจึงใช้กฎหมายที่เน้นขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งบริวารต้องภักดี  ร่วมรบ  รับใช้และอุทิศแรงงานให้ผู้นำ  ส่วนผู้นำก็ต้องตอบแทนด้วยการให้ความคุ้มครอง  แนวคิดนี้ผสมกลมกลืนจนกลายเป็นระบบศักดินาในที่สุด 
โครงสร้างของระบบศักดินาประกอบด้วยชนชั้นต่างๆ ได้แก่กษัตริย์ (Suzerain/Overlord)  ขุนนางชั้นสูงและสวามิภักดิ(Lords/Vassals)  ชาวนาและขุนนางผู้น้อย  อัศวิน (Peasants/Knight)  และทาส (Serfs)ตามทฤษฎีแล้วกษัตริย์เป็นเจ้าที่ดิน (Fief) ซึ่งไม่ขึ้นกับใคร  แต่ในทางปฏิบัติ  กษัตริย์อาจเป็นทั้ง Zuzerain  และ  Vassal  อาทิ กษัตริย์วิลเลียมผู้พิชิต  (ค.ศ. 1060-1087)ทรงเป็นทั้งดยุคแห่งนอร์มังดีของฝรั่งเศสและเป็นกษัตริย์อังกฤษ ทรงมีขุนนางอังกฤษเป็นvassalsและมีฐานะเท่าเทียมกับกษัตริย์ฝรั่งเศส แต่เมื่อเป็นยุคแห่งนอร์มังดีก็ต้องภักดีต่อกษัตริย์ฝรั่งเศส ผู้พระราชทานแคว้นนอร์มังดีแก่บรรพบุรุษของพระองค์ ยกเว้น Duke  Charles  the  Bold  of  Burgandi (1467-1477 AD.) ที่ไม่ต้องเข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีในฐาน Vassal  ของกษัตริย์ฝรั่งเศส  เนื่องจากทรงมีอำนาจมาก
   Lords   คือขุนนางชั้นสูงซึ่งได้รับพระราชทานกรรมสิทธิ์ที่ดิน   มีอำนาจเหนือชีวิตความเป็นอยู่ของสามัญชนผู้เช่าที่ดินของตน  Lords  ต้องจงรักภักดีต่อ  Suzerain  มิฉะนั้นพันธะที่มีต่อกันจะสิ้นสุดลง  และ  Suzerain  สามารถเรียกที่ดินกลับคืนได้  Lords ต้องเป็นทหารและให้คำปรึกษาให้แก่  Suzerain  นอก จากนี้จะต้องส่งเงินเป็นบรรณาการแด่  Suzerain 3 กรณี  คือ  เมื่อโอรสองค์แรกของ  Suzerain  บรรลุนิติภาวะและทำพิธีเป็นอัศวิน  เมื่อธิดาองค์แรกของ Suzerain  แต่งงาน  และเมื่อ Suzerain  ถูกจับเรียกค่าไถ่
       Subvassals   คือ  vassals  ของขุนนางชั้นสูงถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่  Lord  มอบให้จึงต้องจงรักภักดีต่อ  Lord
      Peasants  และ  Serfs  คือชาวนาและทาสที่ทำมาหากินบนที่ดินและอยู่ภาย
ใต้การคุ้มครองของ  Suzerain/Lord  และ  Subvassals  ตามลำดับ
    เจ้าที่ดินไม่สามารถขายที่ดินซึ่งชาวนาอิสระทำกินได้  แต่สามารถขายที่ดินซึ่งทาสทำกินได้  แม้  Lord  จะกดขี่ข่มเหงเพียงใดชาวนาหรือทาสก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจาก   Suzerain   ได้
   ระบบศักดินาเป็นระบบโครงสร้างความสัมพันธ์ซึ่งยึดหลักการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของขุนนางเป็นพื้นฐานของการปกครอง  แต่  Suzerain   ไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองเหนือดินแดนทั้งหมดอย่างแท้จริง ทรงมีอำนาจเด็ดขาดเฉพาะใน  Fiefsหรือที่ดินที่มิได้ยกให้แก่ผู้ใดเท่านั้น  อาทิในคริสต์ศตวรรษที่  11-12 กษัตริย์ฝรั่งเศสทรงมีอำนาจเหนือกรุงปารีสและ อิลเดอ  ฟรองซ์  (Ile  de  France)   เท่านั้น  ส่วนดินแดนอื่นๆ  นั้นอยู่ใต้อำนาจของ  Lords  ทั้งหมด