บทที่ 5
ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกสมัยกลาง
ความหมายของยุคกลาง (ค.ศ. 410 – 1494)
ยุคกลางเป็นยุคมืดแห่งศิลปะวิทยาการ นักคิดในยุคฟื้นฟูสิลปวิทยาการ (คริสต์ศตวรรษที่ 15) และนักคิดแห่งสำนักฟิโลซอฟ (The Philosophes) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีวอลแตร์ (Francois Voltaire) เป็นผู้นำเสนอว่ายุคกลางเป็นยุคที่ยุโรปหยุคนิ่งทางศิลปะวิทยาการ และอยู่ระวห่างความเจริญของโลกคลาสสิกกับความรุ่งเรืองของยุโรปสมัยใหม่ซึ่งเริ่มต้นเมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกทำลายจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ต้นคริสศตวรรษที่ 5-ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15)
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของยุคกลาง
ยุคกลางตอนต้น เป็นยุคแห่งความสำเร็จพวกนอร์ธแมน เป็นยุคแรกของสังคทมศักดินาซึ่งทำให้เกิดการชะงักงันทางปัญญาไร้กฎระเบียบ วินัยและมีการผสมผสานกันของศาสนาคริสต์กับอารยธรรมกรีก-โรมัน
ยุคกลางช่วงรุ่งเรือง เป็นยุคทองของสังคมศักดินาและสถาบันศาสนา คริสตจักรและอาณาจักรอยู่ภายใต้การชี้นำของพระสันตะปาปามีการฟื้นฟูปรัชญาของอริสโตเติลทำให้สังคมฟื้นตัวทางปัญญาและเศรษฐกิจ
ยุคกลางตอนปลาย เป็นยุคเสื่อมของสถาบันศาสนาและระบอบศักดินา มีการสร้างรัฐประชาชาติและยอมรับอำนาจกษัตริย์สนใจปรัชญากรีก-โรมัน นำไปสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยาการความก้าวหน้าทางแพทย์
ความหมายของระบบศักดินา
Feudalism มาจากคำว่า Fief แปลว่า ที่ดินแปลงหนึ่ง หมายถึงระบบการปกครองและโครงสร้างทางสังคมที่เน้นความสำคัญของกรรมสิทธิ์ที่ดินการเป็นเจ้าของที่ดิน การเป็นเจ้าของที่ดินเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสิทธิ์อำนาจทางการเมืองและสังคมหาก ปราสจาก กรรมสิทธิ์ในที่ดินบุคคลก็ไม่สามารถอ้างสิทธิทางการเมืองได้
ความเป็นมาของระบบศักดินา
กรุงโรมแตกหลังการโจมตีของอนารยชนเผ่าเยอรมัน 3 ครั้งในปี ค.ศ. 410 ค.ศ. 455 และ ค.ศ. 476 ผู้นำชาวเยอรมันเผ่าวิซิกอธ ได้ตั้งตัวเป็นประมุขและทำลายอารยธรรมทุกอย่างในดินแดนเหนือเทือกเขาแอลป์ จนความเจริยต่าง ๆ สูญสิ้นลงไปอย่างสิ้นเชิง
ปัจจัยในการก่อตัวของระบบศักดินาแบ่งออกเป็น 3 ประการคือ
1. การรับจารีตการปกครองทางโลกมาจากโรมัน
2. การรับรูปแบบการปกครองทางศาสนามาจากโรมัน
3. โครงสร้างทางสังคมของอนารยชนเผ่าเยอรมัน
สังคมยุคกลาง
Manor เป็นหน่วยปกครองทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจระดับพื้นฐานในยุคกลางเชื่อมดยงเจ้าที่ดิน (Lord) กับประชากรเอาไว้ การปกครองนี้เรียกว่าระบบ Manorialism
การเมืองยุคกลาง
หลังการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปี ค.ศ. 476 อนารยชนเผ่าเยอรมันได้ตั้งอาณาจักรเล็ก ๆ ทั่วไปในยุโรปใต้ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5-8 ดังนี้
พวกวิซิกอธ รุกเข้าตอนใต้ของฝรั่งเศสและตอนเหนือของสเปน ก่อตั้งแคว้นอาควิเตน มีตูลูสเป็นเมืองหลวง
อำนาจของชนเผ่าเยอรมันมาจากการใช้คมหอกสั้นปลายแคบและเครื่องมือเหล็กเพราะปลุกไม่รู้จักใช้เงินชอบการต่อสู้ กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดมากจากการเลือกตั้งยกย่องเพศหญิงมากกว่าสังคมโรมัน เด็กชาย-หญิงได้รับการอบรมเลี้ยงดูเทียมกัน
คริสตศาสนา
คริสต์ศาสนาเผยแพร่ในจักรวรรดิโรมันตั้งแต่ต้นคริสตกาลแต่ไม่ได้รับความนิยมต่อมาในปี ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงยอมให้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้ทำให้ชาวโรมันทิ้งลัทธิการบุชาเทพเจ้าและภูตผี การคุกคามของอนารยชนและการแย่งชิงอำนาจของผู้ปกครองจึงทำให้ชาวโรมันหันมานับถือคริสต์ศาสนา หลังจักรวรรดิโรมันตะวันตกสิ้นสุดลง คริสต์ศาสนาเป็นสถาบันเดียวที่ยื่นหยัดได้ภาขใต้การนำของพระสันตปาปา แต่จักรพรรดิกลับหมดอำนาจสิ้นเชิง
- ศีลล้างบาปแรกเกิด
- ศีลสง่า
- ศีลสมรส
- ศีลบวช
- ศีลมหาสนิท
- ศีลแก้บาป
- ศีลบทสุดท้าย
อาณาจักรคาโรลินเจียน
อาณาจักรคาโรลินเจียนพัฒนามาจากอาณาจักรเมโรวินเจียนในแคว้นกอล ซึ่งยอมให้พลเมืองนับถือศาสนาคริสต์ในปลายคริสต์ดศตวรรษที่ 5 ครั้นถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 อำนาจของอาณาจักรเมดรวินเจียนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขุนนางตระกูลคาโรลินเจียน
อาณาจักรคาโรลินเจียนเริ่มเสื่อมลงในสมัยพระเจ้าหลุยส์ ทำให้อาณาจักรถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามสัญญาแวร์ดัง (the treaty of Verdun) คือ
- ส่วนแรก จักรพรรดิ Lothair ปกครองอาณาจักรส่วนกลางได้แก่อิตาลี เบอร์กันดีอัลซาด ลอเรนท์ เนเธอร์แลนด์และเดนมาร์ก
- ส่วนที่สอง Louis the German ปกครองเยอรมัน
- ส่วนที่สาม Charlethe Bold ปกครองฝรั่งเศส
การฟื้นตัวของเมือง
ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมันทำให้เมืองศูนย์กลางทางการค้าและศิลปวัฒนธรรมสิ้นสุดบทบาทาลงไปด้วยสำนักบาทหลวงและโบสถ์ในชนบทจึงกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมแทนเมืองนานกว่า 500 ปี
สมาคมการค้าหรือสมาคมอาชีพล
นอกจากนี้นักรบ นักคิด นักเขียนและอื่น ๆ ก็ต้องเป็นสมาชิกสมาคมที่เกี่ยวข้องกับอาชีพตน แต่ละสมาคมก็มีระเบียบและจรรยาบรรณควบคุมสมาชิกให้ทำงานได้มาตรฐาน เช่นหากคนทำขนมปังทำขนมปังไม่ได้น้ำหนักก็จะถูกเอาขนมปังห้อยคอประจาน คนทำไวน์ผลิตไวน์ไม่มีคุณภาพก็ถูกบังคับให้ดื่มไวน์แล้วเอาส่วนที่เหลือราดตัว และสมาคมอาชีพยังกีดกันมิให้สมาชิกผลิตสินค้าอื่นนอกเหนือจากที่ตกลงไว้ทำให้ขาดการคิดสร้างสรรค์สินค้าอื่นออกสู่ท้องตลาด ครั้งถึงสมัยกลางตอนปลายสภาวะเช่นนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อความคิดเรื่องปัจเจกชนมาแทนที่
กำเนิดมหาวิทยาลัยในยุโรป
มหาวิทยาลัยบางแห่งเกิดจากการรวมตัวของอาจารย์และปัญญาชนกลุ่ม University อันเป็นองค์กรทางวิชาชีพในเมือง มหาวิทยาลัยบางแห่งขยายตัวมาจากโรงเรียนวัน บางแห่งเกิดจากการรวมตัวของอาจารย์และนักศึกษาการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแพร่หลายมากระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11-12 มหาวิทยาลัยปารีสมีชื่อเสียงมากที่สุดทางตอนเหนือ มหาวิทยาลัยโบโลญยาในอิตาลีมีชื่อเสียจงที่สุดทางตอนใต้
ด้านการเรียนการสอนนั้น มหาวิทยาลัยยังไม่มีอาคารเรียน ห้องสมุดหรืออุปกรณ์จึงต้องใช้โบสถ์หรือห้องโถงของมหาวิหารหรือห้องเช่าเพื่อการเรียนทำให้อาจารย์และนักศึกษามักย้ายมหาวิทยาลัยไปยังต่างเมือง เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องค่าเช่าสถานที่อาหาร
สงครามครูเสด
ความขัดแย้งระหว่างคริสต์กับอิสลามตั้งแต่ต้นคริสศตวรรษที่ 7 เป็นสาเหตุของสงครามครูเสด เมื่อชาวมุสลิมรุกรามและยึดครองยุโรปบางส่วนทำให้ชาวคริสต์ขัดขวางการขยายตัวของศาสนาอิสลามซึ่งชาวคริสต์ถือว่าเป็นภัยต่อจักรวรรดิไบแซนไทน์และนิกายกรีกออร์โธดอกซ์
สงครามครูเสดเกิด 9 ครั้ง การรบครั้งแรกระหว่าง ค.ศ. 1096-1099 เท่านั้นที่เกิดจากศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระจ้าไม่มีเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจและอื่น ๆ มาเกี่ยวข้องทำให้นักรบครูเสดสามารถยึดครองกรุงเยรูซาเล็มและจัดระบบการผกครองแบบฟิวดัลที่เยรุซาเล็มได้แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกผลักดันกลับในสงครามครูเสดครั้งที่ 2
ผลกระทบของสงครามครูเสด
ผลจากสงครามทำให้ชาวคริสต์เปิดรับความรู้ภูมิปัญญา แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและทัศนคติกับชาวตะวันออกอย่างกว้างขวางส่งผลให้การค้าเจริญเติบโตขึ้นอาทิ สินค้าประเภทผ้าฝ้ายฯลฯ และกระตุ้นให้มีการเร่งผลผลิตทางเกษตรกรรมและหัตถกรรมเมื่อชาวยุโรปนำวิทยาการกลับมาเผยแพร่จึงก่อให้เกิดความตื่นตัวทางการศึกษาและศิลปะทำให้ระบบฟิวดัลและระบบแมนเนอร์ซึ่งปิดกั้นเสรีภาพและความสามารถของปัจเจกชนถูกทำลาย
วรรณกรรมสมัยกลาง
วรรณกรรมสมันกลางมีทั้งวรรณกรรมทางโลกและทางศาสนา
วรรณกรรมทางศาสนาเขียนเป็นภาษาละติน งานชิ้นหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนสมัยกลางมาก คือเทวนคร โดยนักบุญเขียนตั้งแต่ปลายสมัยโรมัน กล่าวถึงการสร้างโลกและกำเนิดของมนุษย์ การไถ่บาปและการพิพากษาครั้งสุดท้ายก่อนที่มนุษย์จะกลับไปสู่ดินแดนของพระเจ้า
การเสื่อมอำนาจของศาสนาจักร
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุดพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3ทรงมีฐานเป็นประมุขทั้งทางโลกและทางธรรมจากการที่ทรงใช้อำนาจครอบงำเหนืออาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งกษัตริย์และขุนนางในยุโรปตะวันตกต่างก็เชื่อฟังพระองค์
การแตกแยกทางศาสนาเป็นเหตุให้ศาสนจักรเสื่อมอำนาจและศรัทธาสังคมยุโรปจึงเปิดโอกาสให้พวกนกรีตแม่มด หมดผีเข้ามีบทบาทต่อชีวิตชาวเมืองสังคมยุโรปจึงเน่าเฟะจึงเป็นที่มาของการปฏิรูปศาสนาคริสต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 16
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น